รูปแบบการทำธุรกิจ
รูปแบบการทำธุรกิจ (Business Model) หมายถึง กระบวนการทำธุรกิจทุกอย่าง ตั้งแต่เรื่องของผลิตภัณฑ์ การตลาด การจัดจำหน่าย การบริการหลังการขาย การบริหารบุคลากร เป็นต้น การเข้าใจในรูปแบบดังกล่าวจะทำให้เห็นรายละเอียดว่ผลิตภัณฑ์จะเป็นอย่างไร คุณภาพระดับไหน. ราคาเท่าไร ช่องทางการจัดจำหน่ายเป็นอย่างไร กระบวนการผลิตเป็นอย่างไร นักลงทุนสามารถคนหาข้อมูลดังกล่าวจาก "รายงานประจำปี" (Annual Report) หรือ "แบบฟอร์ม 56-1" ที่บริษัทต้องจัดทำและส่งให้แก่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืน
ความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืน หรือ Durable Advantage ที่นักลงทุน VI เรียกย่อๆ ว่า "DCA" ซึ่งบริษัทที่จะมี DCA จะต้องมีคุณสมบัติข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
- บริษัทอาจมีสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ แต่มีความโดดเด่น หรือ กีดกันคู่แข่งขัน เช่น ยี่ห้อ ลิขสิทธิ์ สัมปทาน เป็ฯต้น
- สินค้าหรือบริการของบริษัทอาจมีลักษณะที่ทำให้ลูกค้ามีความยากลำบากที่จะเลิกใช้หรือเปลี่ยนผู้ขายหรือให้บริการ
- บริษัทมีเครือข่ายลูกค้าที่ใหญ่กว่าคู่แข่งมาก
- บริษัทมีข้อได้เปรียบทางด้านต้นทุนการผลิต ซึ่งอาจมาจากทำเลที่ตั้ง ขนาดของธุรกิจ หรือเนื่องมาจากทรัพย์สินเฉพาะอย่าง
ผลการดำเนินงานหรือกำไรของบริษัท
กำไรเป็นปัจจัยที่สะท้อนถึงผลการดำเนินงานได้ นอกจากกำไรที่เป็นเม็ดเงินหรือกำไรต่อหุ้นแล้ว เราอาจดูผ่าน "กำไรปกติ" (Profit Margin) ซึ่งนำกำไรไปเทียบกับยอดขาย ยิ่งอัตราสูง ก็แสดงให้เห็นถึงผลการดำเนินงานที่ดีหลังหักค่าใช้จ่ายออก อย่างไรก็ตาม กิจการที่มีคุณภาพดี มีกำไรสม่ำเสมอและเป็นกำไรปกติ (หมายถึง กำไรที่จะเกิดขึ้นต่อเนื่องไปในระยะยาวได้) ความแน่นอนของกำไรหรือการเติบโตของกำไร อาจมองย้อนกลับไปประมาณ 5 ปี
ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น
หรือ Return on Equity (ROE) ซึ่งคำนวณมาจาก (กำไรสุทธิ / ส่วนของผู้ถือหุ้น) x 100 ยิ่งอัตราส่วนนี้มีค่าสูง ยิ่งแสดงว่าเงิน 1 บาทของผู้ถือหุ้นก่อให้เกิดกำไรยิ่งมาก แสดงถึงคุณภาพของบริษัทยิ่งดี ผู้ถือหุ้นมีโอกาสจะได้ผลตอบแทนเป็นเงินปันผลก็สูงขึ้น หรือเงินทุนจากกำไรถ้านำไปลงทุนต่อก็มีโอกาสสร้างกำไรในอนาคตต่อ ช่วยเพิ่มโอกาสการได้รับ Capital Gain ในอนาคตต่อไป ดร.นิเวศน์ แนะนำว่าบริษัทที่น่าสนใจควรมี ROE ประมาณ 15% ขึ้นไป
ฐานะการเงินหรือหนี้สิน
ดร.นิเวศน์ เสนอแนะว่า VI ชอบบริษัทที่มีหนี้น้อย และกลัวบริษัทที่มีหนี้มาก โดยเฉพาะถ้าเป็นบริษัทที่มีผลกำไรไม่ค่อยแน่นอน และพยายามโตเร็วโดยการก่อหนี้ แม้ว่าถ้าสำเร็จจะได้กำไรมาโดยไม่ต้องเพิ่มทุน ทำให้ ROE สูงแต่ถ้าเกิดการผิดพลาด ภาระหนี้ที่สูงต้องจ่ายทั้งดอกเบี้ยและเงินต้นจำนวนมาก ถ้าผลดำเนินงานไม่ดี จะส่งผลกระทบทางลบต่อฐานะการเงิน บางกรณีอาจล้มละลายได้ ดร.นิเวศน์ ให้เราลองสมมติว่าเป็นเจ้าของ ถ้าต้องรับภาระหนี้สูงมากๆ เราคงรับไม่ได้และไม่มีความสุข บริษัทที่มีหนี้มากจึงไม่น่าสนใจ
ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสด
กระแสเงินสดที่ดีมาจากการมี "กำไรเป็นเงินสดสูง" มักขายสินค้าเป็นเงินสด ขณะที่ซื้อวัตถุดิบเป็นเงินเชื่อ มักไม่ค่อยลงทุนมากในการที่จะรักษายอดขายหรือขยายกิจการต่อไป หุ้นบริษัทที่มีเงินสดมากและมีกระแสเงินสดที่ดี มักจะจ่ายปันผลได้ในอัตราที่สูง และมักปลอดหนี้เงินกู้จากสถาบันการเงิน ทำให้ความเสี่ยงของบริษัทลดลงมาก
ผู้บริหาร
นักลงทุน VI ควรติดตามข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบรรษัทภิบาลของผู้บริหารด้วย เพราะเป็นเครื่องชี้วัดคุณภาพของกิจการอย่างหนึ่ง เช่น มีประวัติเสียหาย ทุจริต ผิดจริยธรรม เอาเปรียบนักลงทุนรายย่อย มีการฟอกเงินออกจากกิจการ อย่างนี้นักลงทุน VI ควรหลีกเลี่ยงแม้ว่าผลประกอบการจะดีเพียงใดก็ตาม เพราะในระยะยาวกิจการยากที่จะดีไปได้