Thursday, February 27, 2014

หุ้นกับสงคราม


          เวลาผมวิเคราะห์หาหุ้นเพื่อลงทุนนั้น   ผมมักจะคิดถึงเรื่องของสงคราม  เหตุผลก็คือ   ผมต้องการหาบริษัทที่จะเติบโตไปได้ในระยะยาว  และบริษัทที่จะรุ่งเรืองเฟื่องฟูไปได้ยาวนานนั้น   จะต้องเป็นบริษัทที่  “ชนะ”  ในการแข่งขันทางธุรกิจในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่บริษัททำอยู่   การแข่งขัน  หรือที่ผมอยากจะเรียกให้มันใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากขึ้นก็คือ  การ  “ต่อสู้”  ทางธุรกิจนั้น  มักจะมีความเข้มข้นสูงมาก  เป็นลักษณะที่  “เอาเป็นเอาตาย”  ไม่มีใครปราณีใคร   “ผู้แพ้”  นั้น  บ่อยครั้งก็ล้มหายตายจากออกจากธุรกิจไปเลย    ดังนั้น   ถ้าเปรียบเทียบไปแล้วก็คล้าย ๆ  กับการสงครามที่มีการสู้รบกันรุนแรง   ผู้ชนะจะเป็นผู้ยึดครองและได้ทรัพยากรไว้ในครอบครอง  เช่นเดียวกับบริษัทที่เป็นผู้ชนะก็จะได้ลูกค้าได้ยอดขายและทำกำไรได้มากซึ่ง ก็จะทำให้หุ้นมีค่ามหาศาล


         กฎของการรบและสงครามของ คาร์ล วอน คลอสวิตซ์  “บิดาแห่งการสงคราม”  นั้น   สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเรื่องของการแข่งขันทางธุรกิจได้และผมก็ใช้อยู่ เสมอ  ลองมาดูกันว่าเวลาวิเคราะห์การแข่งขันของธุรกิจแต่ละอย่างผมทำอย่างไร?


         กฎข้อแรกของสงครามที่ผมจะเริ่มก็คือ   ในการรบนั้น  เราจะต้องกำหนดหรือมองดูว่า  สนามรบอยู่ที่ไหน  ใครยึดชัยภูมิไหนอยู่  อุปนิสัยของแม่ทัพแต่ละฝ่ายเป็นอย่างไร เราจะต้องเข้าใจตรงนี้ก่อนถึงจะรู้ว่าใครได้เปรียบและใครอยู่ในชัยภูมิที่ เสียเปรียบ  และพอจะคาดได้ว่ากลยุทธ์ในการศึกจะเป็นอย่างไร  และสุดท้ายใครน่าจะเป็นฝ่ายชนะ   ในทำนองเดียวกัน  ในเรื่องของธุรกิจนั้น   ผมก็จะต้อง  “ขีดวง”  ให้ชัดเจนก่อนว่า  สนามรบ”  อยู่ที่ไหน  นั่นก็คือ  ตัวสินค้าหรือผลิตภัณฑ์คืออะไร   ใครเป็นลูกค้าเช่น  เป็นคนรายได้สูงหรือรายได้ต่ำ  หรือเป็นเด็กหรือเป็นผู้หญิง    หรืออยู่ในอาณาบริเวณไหน   เป็นต้น    ต่อจากนั้น  ผมก็จะมาดูว่าบริษัทไหนยึด  “ชัยภูมิ”  ไหนอยู่และชัยภูมินั้นได้เปรียบหรือเสียเปรียบ   คำว่าชัยภูมินั้น  ในทางธุรกิจก็คือ  มันอยู่ที่จุดไหน  “ในใจของผู้บริโภคที่เป็นลูกค้าของบริษัท    ชัยภูมิที่ได้เปรียบและแข็งแกร่งเหมือนกับอยู่บนภูเขาในสงครามก็เช่น   เป็นบริษัทที่เป็น  “อันดับหนึ่ง”  หรือสินค้าของบริษัทนั้น  “หรูที่สุด”   หรือ  บริษัทหรือร้านของบริษัทมีสินค้า  “ครบที่สุด”  ในที่เดียว  เป็นต้น


          ในการวิเคราะห์เรื่องสนามรบและการรบนั้น   เราต้องดูว่ากลยุทธ์ของแต่ละบริษัทนั้นเป็นอย่างไร   นี่ก็คือ  เราต้องดูไปถึงแม่ทัพหรือผู้บริหารว่าเขาทำอย่างไร  กลยุทธ์นั้นถูกต้องหรือไม่   เขาทุ่มเทกับการรบในสนามหลักหรือเขามักชอบที่จะ  “เปิดแนวรบใหม่ ๆ”  ไปในจุดที่เขาไม่คุ้นเคยหรือเสียเปรียบหรือไม่  ถ้าเขาทำอย่างนั้นโอกาสที่จะชนะสงครามจะมีแค่ไหน   ถ้าเราดูแล้วรู้สึกว่ากลยุทธ์เหล่านั้นไม่ถูกต้องและจะทำให้เสียหายหนัก   เราก็จะต้องระมัดระวังหรือหลีกเลี่ยงบริษัทนั้น    ว่าที่จริงในเรื่องของการวิเคราะห์ตัวแม่ทัพหรือผู้บริหารนั้น  ผมจะมองไปถึงเรื่องของ  คุณธรรม” คุณสมบัติและนิสัยอีกหลายอย่าง  รวมถึงอายุและความเป็นคน  หัวอนุรักษ์  หรือเป็นคน  หัวก้าวหน้า  ด้วย   เพราะผมคิดว่าเรื่องเหล่านี้มีความสำคัญต่อการที่บริษัทจะชนะหรือแพ้ในการรบ หรือการต่อสู้ทางธุรกิจ


        การวิเคราะห์ว่าใครจะชนะหรือแพ้ในการรบหรือการแข่งขันทางธุรกิจนั้น  ผมจะยึดกฎของการสงครามข้อที่สองนั่นก็คือ  ในสนามรบที่เราได้ขีดวงไว้แล้วนั้น   ฝ่ายไหนมีทรัพยากรมากกว่าฝ่ายนั้นก็จะเป็นผู้ชนะ  ทรัพยากรของสงครามนั้นก็คือ  กำลังทหารและอาวุธต่าง ๆ   กองทัพที่มี  “อำนาจการยิง”  ที่เหนือกว่าจะเป็นฝ่ายชนะ   ดังนั้น  ในการศึกแต่ละครั้ง  แม่ทัพที่มีความสามารถก็คือคนที่สามารถทุ่มสรรพกำลังเข้าไปในสนามรบมากกว่า ศัตรู   ดังนั้น  กองทัพที่ใหญ่โตแต่ไม่ได้อยู่ในสนามรบก็ไม่สามารถชนะศึกได้  กองทัพที่เล็กแต่ทุ่มกำลังเข้าไปในจุดที่สู้รบได้มากกว่ากลับเป็นฝ่ายชนะ   ถ้าจะเปรียบกับธุรกิจก็ลองนึกไปถึงบริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่ของโลกนั้น   ถ้าจะเข้ามาแข่งขันกับร้านค้าปลีกที่ยึดทำเลและมีธุรกิจที่แข็งแกร่งในเมือง ไทยก็จะเห็นภาพชัด  นั่นก็คือ  บริษัทระดับโลกนั้นไม่ได้มีทรัพยากรในท้องถิ่นไทยพอ   ดังนั้นถ้าเข้ามารบหรือมาแข่งขันก็จะแพ้ตามกฎของสงครามข้อนี้    ซึ่งประวัติศาสตร์ก็บอกเราตลอดเวลาว่า   ประเทศที่ใหญ่โตเป็นมหาอำนาจอย่างอเมริกาก็ไม่สามารถรบชนะเวียตนามในสนามรบ ประเทศเวียตนามได้ทั้งนี้เพราะอเมริกาไม่สามารถระดมทรัพยากรเข้าไปในป่าดง ดิบได้   เช่นเดียวกัน  เราเห็นบริษัทระดับโลกที่พ่ายแพ้ต้องถอนตัวออกจากประเทศที่กำลังพัฒนามากมาย ทั้ง ๆ   ที่บริษัทท้องถิ่นมีขนาดที่เล็กกว่ามาก


     กฎข้อที่สองของสงครามนั้น   เรามองเฉพาะในกรณีที่  ทำเลของกองทัพแต่ละฝ่ายเสมอกันและกองทัพเข้าประจัญบานกัน   แต่ในสงครามนั้นมีเรื่องของชัยภูมิและการเป็นฝ่ายรุกที่ต้องเคลื่อนไหวหรือ เป็นฝ่ายตั้งรับที่สามารถตระเตรียมและยึดชัยภูมิที่ดีกว่าไว้หรือไม่   ดังนั้น  กฎข้อที่สามของสงครามก็คือ  ฝ่ายที่ตั้งรับย่อมแข็งแกร่งกว่าฝ่ายที่รุกรบ   และถ้าฝ่ายที่รุกต้องการชนะสงครามก็จะต้องใช้กำลังพลหรืออำนาจการยิงเป็นสาม เท่าของฝ่ายที่ตั้งรับ   กฎข้อนี้ถ้านำมาประยุกต์กับการแข่งขันทางธุรกิจก็คือ  บริษัทที่สามารถสร้าง  ฐาน  ได้ในระดับหนึ่งหรือกลายเป็นผู้นำในธุรกิจหนึ่งแล้วก็จะเป็นเรื่องยากสำหรับ คนที่จะเข้ามาแข่งขัน   เพราะถ้าคนใหม่จะเอาชนะได้นั้น   ไม่ใช่แค่ว่าจะมีอำนาจการยิงหรือทรัพยากรที่เหนือกว่าเท่านั้น  จะต้องมีเหนือกว่าหลายเท่าถึงจะเอาชนะได้     แต่นี่ก็คงต้องมองไปถึงสนามรบด้วยว่าโดยธรรมชาติของมันเป็นสนามที่สามารถ  “ตั้งค่ายหรือมี  “คูเมือง”  ป้องกันข้าศึกได้หรือไม่   ถ้าไม่มี  ฝ่ายรุกก็อาจจะไม่จำเป็นต้องมีทรัพยากรเป็นสามเท่าถึงจะเอาชนะได้  และนี่นำเรากลับไปที่กฎข้อที่หนึ่งของสงครามที่ว่าเราต้องวิเคราะห์สนามรบ และชัยภูมิว่ามันเป็นป่าเขา  ลุ่มน้ำ  หรือที่ราบ

        ในสนามรบที่เป็นที่ราบกว้างใหญ่นั้น   ผู้ชนะส่วนใหญ่ก็ต้องอาศัย  ฝีมือและความสามารถของทหารรวมถึงกลยุทธ์ที่แม่ทัพใช้  ในบางช่วงบางตอนก็จะมีผู้ชนะที่เกรียงไกรสามารถครองพื้นที่กว้างขวาง   ตัวอย่างในประวัติศาสตร์ก็อาจจะเป็นนักรบบนหลังม้าอย่างเจ็งกิสข่าน  อย่างไรก็ตาม  การรบ  “บนหลังม้า”  นั้น  พวกเขาก็ไม่สามารถยึดชัยภูมิที่ดีและสร้างป้อมค่ายที่จะป้องกันข้าศึกใน อนาคตได้   ดังนั้น  ก็เป็นการยากที่กองทัพแบบนี้จะสามารถชนะต่อไปยาวนาน   ซักวันหนึ่งก็อาจจะมีคนที่เข้ามาต่อสู้และเอาชนะได้ในที่สุด   นี่ก็เปรียบเสมือนกับธุรกิจหรืออุตสาหกรรมบางอย่างโดยเฉพาะที่เป็นสินค้า โภคภัณฑ์หรือสินค้าที่ไม่สามารถสร้างความได้เปรียบในด้านของขนาด  หรือความได้เปรียบในด้านอื่น ๆ  ได้อย่างถาวรเพราะคู่แข่งสามารถเลียนแบบความสำเร็จได้  ในธุรกิจแบบนี้   ผู้ชนะก็มักจะเป็น ผู้ชนะชั่วคราวราคาหุ้นที่ขึ้นไปก็มักจะเป็นการขึ้นชั่วคราว   ดังนั้น  ถ้าเราเลือกที่จะลงทุน   เราก็จะต้องรู้ว่าจะ  “ออกเมื่อไร  มิฉะนั้น  เราอาจจะขาดทุนได้


         ประเด็นสุดท้ายก็คือ  เรื่องของธุรกิจนั้นก็เหมือนกับสงครามที่อาจจะมีผู้ชนะหลายรายเช่นเดียวกับ ผู้แพ้จำนวนมาก  และผู้ชนะเองก็อาจจะเป็นศัตรูหรือเป็นมิตรกันได้   ประเด็นสำคัญก็คือ  ผู้ชนะมักเป็นผู้ที่ทำลายฝ่ายผู้แพ้และอาจจะสู้กันเองด้วย  ในเรื่องของธุรกิจก็เหมือนกัน  กระบวนการแข่งขันนั้น  ผู้ที่อ่อนแอจะถูก  “กลืน”  ก่อน  จนกว่าผู้อ่อนแอจะหมด  ผู้ที่แข็งแรงและ ชนะ”  จึงจะหันมาต่อสู้กันตรง ๆ