หลักปรัชญาในการลงทุน (ซึ่งจะส่งผลไปยังวิธีในการลงทุน) ของ วอเร็น บัฟเฟตต์ อาจหาอ่านได้ในหนังสือการลงทุนตามสไตล์ของ วอเร็น บัฟเฟตต์ซึ่งมีมากมาย แต่ในฐานะผู้ตีความคนหนึ่ง ผมขอสรุปไว้สั้นๆ 3 ข้อหลัก ดังนี้
1.ลงทุนในธุรกิจที่คุณเข้าใจ
วอร์เร็น บัฟเฟตต์ แนะนำว่าการจะลงทุนในหุ้นของธุรกิจอะไรสักอย่าง เราควรจะรู้จักสิ่งที่เรากำลังจะเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง นอกจากเข้าใจแล้วจะต้องทำวิจัยก่อนตัิดสินใจซื้อด้วย ในการลงทุนในหุ้นเราอาจลองใช้แนวคิดเหมือนกับเรากำลังจะลงทุนในธุรกิจนั้นๆ ถ้าเราจะเปิดร้านอาหาร เราก็คงต้องตอบคำถามหลายอย่าง เช่น- เรากำลังจะขายอะไร
- สินค้าและบริการคืออะไร
- ลูกค้าของเราคือใคร
- เขามีความต้องการอย่างไร
- วิธีการผลิตและบริการเป็นอย่างไร
- คู่แข่งเป็นอย่างไร
- ความพร้อมและความสามารถของผู้บริหารและพนักงานเป็นอย่างไร
- ราคา ต้นทุน และกำไรเป็นอย่างไร
- ต้องลงทุนเท่าไร เป็นต้น
วอเร็น บัพเฟตต์ มักจะกล่าวว่า "ผมไม่เข้าใจเทคโนโลยี ดังนั้น ผมจึงไม่ลงทุนในกลุ่มนี้" ไม่ได้หมายความว่า ธุรกิจเทคโนโลยีไม่ดี ไม่มีอนาคตแต่ วอเร็น บัฟเฟตต์ อธิบายว่าเขาไม่ถนัดในการทำความเข้าใจกับธุรกิจดังกล่าว ทำให้ไม่มั่นใจที่จะคาดการณ์สภาพของธุรกิจในอนาคต ซึ่งส่งผลต่อความไม่เข้าใจในการคาดการณ์กระแสเงินสด และการประเมินมูลค่าของธุรกิจนี้ เขาจึงไม่กล้าลงทุน
ลองสังเกตหุ้นที่อยู่ในพอร์ตของธุรกิจลงทุนอย่างยาวนานของ วอเร็นบัฟเฟตต์ เช่น
- การลงทุนในหุ้นของโรงงานสิ่งทอ เบิร์กไซร์ ฮาธาเวย์ ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนมาเป็นธุรกิจการลงทุนของ วอเร็น บัฟเฟตต์ แทนแต่ในตอนที่เขาซื้อหุ้นของโรงงานสิ่งทอนี้ วอเร็น บัฟเฟตต์ ต้องการลงทุนในธุรกิจสิ่งทอจริงๆ เพราะในยุคทศวรรษ 1960 ธุรกิจสิ่งทอยังขยายตัวได้ดีในสหรัฐฯ ซึ่งวอเร็น บัพเฟตต์ ศึกษาธุรกิจนี้มาอย่างถ่องแท้แม้ธุรกิจสิ่งทอจะถูกวิพากณ์วิจารณ์ว่าเป็นธุรกิจในเศรษฐกิจแบบเก่า แต่ก็ยังเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ที่จำเป็น อย่างไรก็ดี ในทศวรรษ 1980 ธุรกิจสิ่งทอในสหรัฐฯ เผชิญกับการแข่งขันจากสิ่งทอของประเทศจีน และประเทศกำลังพัฒนา ทำให้สภาพแวดล้อมเปลีื่ยนไป วอเร็นจึงเปลี่ยนบริษัทสิ่งทอนี้เป็นธุรกิจการลงทุนแทน แม้ว่าวอเร็น บัฟเฟตต์จะเห็นว่าการตัดสินใจลงทุนในธุรกิจสิ่งทอนี้เป็นความผิดพลาด แต่ในตอนที่ตัดสินใจซื้อ เขาใช้หลักการที่เกี่ยวกับ "การลงทุนในธุรกิจที่คุณเข้าใจ" แต่บทเรียนที่ได้มาเพิ่มเติมก็คือ "เราต้องเข้าใจมันตลอดทุกช่วงเวลาด้วย"
- การลงทุนในหุ้นบริษัทประกันภัย GEICO หุ้นบริษัทเครื่องดื่มโคคา-โคล่า หรือหุ้นบริษัทหนังสือพิมพ์ เดอะ วอชิงตันโพสต์ ทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยงข้องกัีบชีวิตในอดีตที่ผ่านมาของวอเร็น ที่เขามีประสบการณ์ได้ทำงานเกี่ยวข้องหรือมีโอกาสได้วิเคราะห์จนเข้าใจในธุรกิจเหล่านั้นอย่างลึกซึ้ง จนแน่ใจใจความมั่นคง และโอกาสการเติบโตของธุรกิจเหล่านั้น ซึ่งนำไปสู่การประมาณการมูลค่าที่แท้จริงของกิจการ และเมื่อนำมาเทียบกับราคาตลาดของหุ้นที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับมูลค่าของบริษัท เหมือนกับได้ "ของดี ราคาถูก" ทำให้มีส่วนเผื่อความปลอดภัย (Margin of Safety) ถ้าในอนาคตราคาหุ้นขึ้นไปตามมูลค่า ก็จะได้ผลตอบแทนสูง (เพราะซื้อมาราคาถูก) หรือถ้าราคาหุ้นเคลื่อนไหวขึ้นลง เราก็จะไม่ตกใจมาก เพราะซื้อมาในราคาถูก จึงทนต่อความผันผวนได้มากกว่า
วอเร็น บัฟเฟตต์ ให้กำลังใจว่า นักลงทุนรายย่อยก็สามารถศึกษาวิจัยธุรกิจได้ไม่ต้องกลัวว่าเป็นศาสตร์ขึ้นสูง ต้องเป็นนักวิเคราะห์ นักวิชาการเท่านั้นที่ทำได้ วิธีการศึกษาธุรกิจ ซึ่งต้องเป็นไปตลอดช่วงเวลาการลงทุน (ซื้อ, ถือ และขายออก) พอสรุปได้ดังนี้
- อ่าน วิเคราะห์ ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกาับการดำเนินธุรกิจ เช่น ประวัิตกิจการสินค้าและบริการ ตลาด คู่แข่ง ฐานะทางการเงิน และผลการดำิเนินงาน เป็นต้น
- เข้าใจหลักการพื้นฐานของบัญชี การวิเคราะห์งบการเงินของบริษัทเพราะบัญชีเป็นภาษาของธุรกิจ ภาพคตวามสำเร็จหรือไม่สำเร็จทางธุรกิจจะสะท้อนออกมาที่งบการเงิน
- ไปเยี่ยม สำรวจ และสัมภาษณ์กิจการ
- เข้าร่วมประชุมประจำปี รู้จักผู้บริหารของบริษัท
- ฯลฯ
และเนื่องจากข้อมูลต่างๆ มีมาก นักลงทุนจึงต้องเรียนรู้วิธีที่จะย่อยข้อมูลและนำเข้าสู่กระบวนการวิเคราะห์ ซึ่งอาศัยความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจ เช่น การบริหารเชิงกลยุทธ์ การบริหารการตลาด การบริหารการผลิด การบริหารบุคลากร และการบริหารการเงิน เข้ามาช่วยใจการวิเคราะห์ เพื่อหาข้อสรุิปว่าธุรกิจนั้นยังดีและคุ้มค่าที่จะลงทุนต่อไปหรือไม่
2.ลงทุนในตลาดสินค้าและบริการ
วอร์เรน บัฟเฟตต์ ใช้คำเปรียเทียบให้เห็นภาพว่า เวลาเลือกลงทุนให้คิดว่ากำลังลงทุนในเมนสตรีท (Main Street) ไม่ใช่ วอลล์สตรีท (Wall Street)คำว่า "เมนสตรีท" (Main Street) คือ ธุรกิจที่มีการดำเนินงานอยู่แล้วและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำธุรกิจแบบยั่งยืนไม่ใช่ธุรกิจตามกระแส ส่วนการลงทุนใน "วอลล์สตรีท" (Wall Street) เป็นการเปรียบเปรยว่าเป็นการดำเนินธุรกิจในโลกทีจับต้องไม่ได้ เป็นแค่สัญญาณการซื้อขาย สัญญาณราคาจับต้องไม่ได้
วอร์เร็นให้ความเห็นว่าการที่เรารู้จักสิ่งที่เราเป็นเจ้าของ ทำให้เราสามารถเน้นการลงทุนไปที่ถนนสายหลัก (Main Street) หรือตัวธุรกิจ แม้ว่าเราจะซื้อมันจากตลาดหุ้น (Wall Street) แต่เราก็จะไม่ตกใจง่ายๆ กับการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น เพราะทุกครั้งเราจะกลับไปดูที่ตัวธุรกิจว่ามันยังดีอยู่ไหม แนวคิดนี้จึงเป็นการย้ำให้นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าเห็นว่า "ความมั่งคั่ง... เกิดจากเมนสตรีทมากกว่าวอลล์สตรีท"
ค้นหาธุรกิจที่ดีบนเมนสตรีท
เวลาเราค้นหาธุรกิจดีที่น่าในใจจะลงทุน วิธีหนึ่งที่ควรทำก็คือเดินไปในย่านเศรษฐกิจของเมือง สอดส่ายสายตาคอยดูว่าประชาชนทั่วไปจับจ่ายใช้สอยอะไร ร้านค้าบางร้าน บริษัทบางแห่ง ทำไมจึงขายดี ทำเลที่ตั้งดี หรือเพราะสินค้าบริการถูกใจลูกค้า หรือเราอาจเดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อหรือซุปเปอร์มาร์เก็ต เข้าไปซื้อน้ำผลไม้ยี่ห้อที่เราโปรดปราน แล้วอาจจะฉุกใจคิดว่า จะมีคนอีกเท่าไรที่มีรสนิยมแบบเรา ขนาดตลาดของน้ำผลไม้แบบนี้มีอยู่เท่าใด และเป็นส่วนแบ่งการตลาดของน้ำผลไม้ยี่ห้อนี้อยู่เท่าใด นี่คือตัวอย่างของการเข้าไปหาธุรกิจที่ดีบนเมนสตรีท ซึ่งแนวคิดการลงทุนแบบนี้ให้คิดเสมือนว่าเรากำลังจะทำธุรกิจแบบนี้ด้วยตัวของเราเอง
ส่วนประเด็นต่อมา ถ้าบริษัทที่เราสนใจนั้นเป็นบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ด้วย อย่างนี้ถือว่าอยู่ในวอลล์สตรีท ซึ่งถือว่าเป็นโชคดีที่จะสามารถขอเข้าไปลงทุนร่วมได้ง่าย โดยเข้าไปซื้อหุ้นเก็บไว้ผ่า "วอลล์สตรีท" แต่เราจะสบายใจมากกว่าเดิม เพราะผ่านการวิเคราะห์บน "เมนสตรีท" มาแล้ว
การลงทุนในเมนสตรีท เป็นการลงทุนระยะยาว
วอร์เรน บัฟเฟตต์ ใช้คำพูดที่โดนใจมาก เมื่อถูกถามว่า "ทำอย่างไรจึงจะรวยเร็ว" เขาตอบว่า "ตลาดหุ้น (วอลล์สตรีท) เป็นสถานที่เพียงแห่งเดียวที่คนขับรถโรลส์รอยซ์ได้รับคำแนะนำจากคนนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน" ซึ่งตีความหมายได้ว่า คนนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินก็คือประชาชนทั่วไปนั่นเอง เขาใช้ชีวิตอย่างไร บริโภคอะไร วอร์เร็นจึงลงทุนในบริษัทที่ผลิตอิฐ สีทาอาคาร ฉนวนกันความร้อน พรม เครื่องดูดฝุ่น เครื่องประดับอัญมณี เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ในครัวเรือน เป็นต้น หลายบริษัทที่วอร์เร็นเข้าไปลงทุน เขาเริ่มจากการเป็นเจ้าของกิจการบางส่วนโดยซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ ไปสู่การซื้อเพื่อเป็นเจ้าของกิจการ โดยซื้อเพิ่มเรื่อยๆ ถือหุ้นไว้ในระยะยาว ถ้าบริษัทมั่นคงดีกำไรสูง มูลค่าหุ้นก็จะสูงขึ้นด้วย กลยุทธ์การลงทุนแบบนี้มีผลทำให้ในระยะยาวมูลค่าพอร์ตการลงทุนของวอร์เร็นก็เปลี่ยนไปด้วย
จะเห็นได้ว่า ในพอร์ตลงทุนของวอร์เร็น ในปี 1997 ลงทุนในหุ้นสามัญถึง 73% ของสินทรัพย์และลดลงเหลือ 26% ในปี 2002 โดยไม่มีการขายหุ้นออกเลย แต่ขณะที่ได้เข้าซื้อหุ้นธุรกิจที่ดีเิ่พิ่ม จนมีสัดส่วนจาก 4% ของสินทรัพย์เป็น 30% ในอีก 5 ปีต่อมา ถ้าบริษัทเหล่านั้นทำกำไรได้ดี ราคาหุ้นที่สูงขึ้น ก็จะทำให้พอร์ตการลงทุนของเขามีมูลค่าสูงขึ้น เพิ่มโอกาสในการไปซื้อกินการเมนสตรีทดีๆ เพิ่มขึ้นอีก อย่างไรก้ดี วอร์เร็นจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการซื้อขายกิจการแบบไม่เป็นมิตร และพนักงานทั้งหมดจะยังคงทำงานอยู่ต่อไปเมื่อเขาซื้อกิจการ
การลงทุนสไตล์แบบวอร์เรน บัฟเฟตต์ มีลักษณะที่ขัดแย้งกับการลงทุนทั่วไปในวอลล์สตรีท นักซื้อขายหลักทรัพย์หรือเทรดเดอร์ในวอลล์สตรีทหารายได้จากการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ซึ่งตรงข้ามกับวอร์เร็นที่สร้างความมั่งคั่งและทำกำไรจากผลประกอบการของแต่ละธุรกิจที่เขาลงทุน เขาเน้นและจำกัดการลงทุนในบริษัทเพียงไม่กี่แห่ง เวลาประเมินบริษัท เขาไม่ใช้การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นของบริษัท แต่จะวัดจากการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าตามบัญชีในแต่ละปี
โดยสรุปแล้ว วิธีการของ วอร์เร็น บัฟเฟตต์ ที่ลงทุนในเมนสตรีทเป็นเรื่องการวิเคราะห์ธุรกิจดีๆ เพียง 1-2 ธุรกิจ เขาเจาะลึกศึกษางบกำไรขาดทุน งบดุล ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ความต้องการเงินทุน หนี้สิน มูลค่าที่แท้จริง จริยธรรมของผู้บริหาร ค่านิยมของผู้บริหาร บุคลิกของผู้บริหาร ความภักดีของลูกค้า พนักงานและเจ้าของ เขาเห็นว่าการลงทุนแบบวอลล์สตรีท ซึ่งเป็นสิ่งที่คนอื่นๆ กำลังกระทำ เช่น เข้าซื้อวันนี้แล้วขายออกพรุ่งนี้ มีระยะเวลาสั้นมันไม่เกี่ยวกับมูลค่า แต่เกี่ยวกับราคาทั้งสิ้น
Robert P.Mile ผู้เขียนหนังสือ "มั่งคั่งอย่าง วอร์เร็น บัฟเฟตต์" ได้สรุปวิธีการตรวจสอบกิจการในเมนสตรีทไว้ 3 ประการดังนี้
- พิจารณาที่ตัวธุรกิจ เรียบง่ายหรือไม่ อยู่ในอุตสาหกรรมที่เราเข้าใจหรือไม่ เป็นธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูงหรือไม่ มีหนี้สินหรือไม่ อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นอย่างไร
- พิจารณาตัวผู้บริหาร พวกเขาซื้อสัตย์หรือไม่ แผนการขยายธุรกิจเป็นอย่างไร ฐานะการเงินดีหรือไม่ สัดส่วนการถือหุ้นในกิจการของพวกเขามากน้อยเพียงใด
- พิจารณามูลค่าธุรกิจ กิจการมีมูลค่าที่แท้จริงเท่าใด สามารถซื้อในราคาถูกหรือไม่
3.ซื้อเพื่อถือระยะยาว ซื้อจำนวนมากและของจำนวนน้อย
เคล็ดลับของวอร์เร็นอยู่ตรงที่ว่า ถ้าหุ้นบริษัทนั้นถูกพิสูจน์ตลอดเวลาว่าเป็นของดี เราก็ควรจะ- ซื้อเพื่อถือระยะยาว
- ถ้าเรามีกำลังซื้อสูง เราควรซื้อมากๆ (ซื้อจำนวนมาก)
- ของดีจริงๆ มีจำนวนน้อย ควรซื้อแบบเจาะลึกกับบริษัทเพียง 2-3 บริษัทเท่านั้น (ของจำนวนน้อย)
ข้อมูลการถือหุ้นจำนวนมากในบริษัทดีๆ เพียงไม่กี่แห่งของวอร์เร็น บัฟเฟตต์ สรุปได้ดังนี้
ข้อมูลการถือหุ้นระยะยาวของ วอร์เร็น บัฟเฟตต์ สรุปดังนี้
ความสำคัญจองการซื้อเพื่อถือระยะยาวในแบบของ วอร์เร็น บัฟเฟตต์ ก็คือ การต้องตรวจสอบตลอดเวลาว่าหุ้นหรือบริษัทจดทะเบียนเหล่านี้ยังคงดีอยู่ สมควรอยู่ในพอร์ตโฟลิโอของเราต่อไปหรือไม่ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าบริษัทนั้นยังคงดีอยู่ วอร์เร็นแนะนำให้ใช้แบบจำลองที่เรียกว่า "Circle of Competence" ซึ่งแสดงได้ด้วยรูปดังนี้
จากรูป เราอาจเรียก Circle of Competence นี้ว่า การกำหนดขอบเขตความสามารถของบริษัท (ที่เราสามารถเข้าใจได้) บริษัทที่ดีควรจะมีองค์ประกอบพร้อมเพรียงทั้ง 3 ด้าน (ส่วนสีทึบที่วงกลม 3 วงทับซ้อนกัน)
Outstanding Business หมายถึง ความโดดเด่นทางธุรกิจ ได้แก่
- ธุรกิจเรียบง่าย เข้าใจได้
- มีงบดุล (ฐานะการเงิน) ที่เข้มแข็ง
- มีภาวะเศรษฐกิจที่ดี (เช่น กระแสเงินสดดีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสูง)
- มีความได้เปรียบในการแข่งขัน
- มีผู้บริหารที่มีความสามารถ
- จัดสรรเงินทุนอย่างมีเหตุผล
- ให้ความสำคัญกับผู้ถือหุ้น
- ผู้บริหารมีส่วนการเป็นเจ้าของ
- ราคาตลาดปัจจุบัน ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (ของดีราคาถูก)
ผมขอจบแนวคิดและปรัชญาหลักในการลงทุนแบบ วอร์เร็น บัฟเฟตต์ ไว้ที่ตอนนี้ ในความเป็นจริงเนื้อหาหรือเรื่องราวการลงทุนแบบเน้นคุณค่าของ วอร์เร็น บัฟเฟตต์ ยังอาจมีรายละเอียดอยู่อีกมากมายกว่านี้ ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถศึกษาเพิ่มเติมต่อไปได้ แต่ส่วนที่สรุปมาให้นี้หวังว่าพอเป็๋นภาพเบื้องต้นที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ที่มีความชอบการลงทุนสไตล์แบบนี้ เริ่มต้นนำไปใช้ประยุกต์กับการลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวต่อไปคับ