การแบ่งประเภทหุ้นตามสไตล์ข้างต้น อีกนัยหนึ่งถือเป็น การแบ่งประเภทหุ้นตามการเปรียบเทียบเครื่องชี้ความถูกแพงของราคาหุ้นค่อความคาดหวังในอัตราการเติบโตของกิจการ ทั้งนี้ ลักษณะสำคัญและความเสี่ยงของหุ้นคุณค่าและหุ้นเติบโต สามารถสรุปได้ตามตารางด้านล่างนี้
ข้อสังเกตประการหนึ่ง คือ การแบ่งประเภทหุ้นตามสไตล์จะไม่ใช้ราคาหุ้น เช่น หุ้น A ราคาหุ้นละ 10 บาท หุ้น B ราคาหุ้นละ 25 บาท เป็นเครื่องกำหนดว่าหุ้น A มีราคาถูกกว่าหุ้น B แต่จะ เปรียบเทียบเครื่องชี้ความถูกแพงของราคาหุ้นต่อความคาดหวังในอัตราการเติบโตของกิจการ เช่น อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E Ratio) หรืออัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (P/BV Ration) ดังแสดงไว้ในตารางด้านบน โดย "หุ้นเติบโต" มักมีค่า P/E Ratio และ/หรือ P/BV Ratio สูงกว่า "หุ้นคุณค่า" อย่างไรก็ตาม การเลือกสรรหุ้นเพื่อการลงทุนโดยพิจารณาเพียงเครื่องชี้ประเภทเดียว เช่น P/E Ratio จะมีความเสี่ยง ผู้ลงทนสถาบันส่วนใหญ่ทั้งที่เน้นหุ้นคุณค่าหรือหุ้นเติบโตต่างอ้างอิงการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและเปรียบเทียบเครื่องชี้หลายประเภทเป็นหลักสำคัญในการลงทุน
1 หุ้นคุณค่า (Value Stock)
ในเกณฑ์เบื้องต้น "หุ้นคุณค่า" มักมีค่า P/E Ratio หรือ P/BV Ratio ต่ำบ่งบอกว่าเป็นหุ้นราคาถูก เพราะผู้ลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดละเลยหุ้นประเภทนี้ เนื่องจากกิจการถูกปรคลุมด้วยข่าวในเชิงลบเกี่ยวกับผลประกอบการ หรือการบริหารจัดการ ทำให้เกิดการคาดการณืว่ากำไรจะเพิ่มขึ้นช้าหรือลดลง ซึ่งก่อนการลงทุนผู้ลงทุนต้องวิเคราะห์ให้แน่ใจว่าแท้จริงแล้วกิจการยังมีศักยภาพที่ดี เพื่อสนับสนุนสมมติฐานว่าเป็นหุ้นที่ราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ เมื่อผู้ลงทุนเข้าสะสมหุ้น ณ ราคานั้น" จะมี "ส่วนเผื่อความปลอดภัย" (Margin of Safety) ในการลงทุนสูง คือ หากราคาจะลดลงต่อ ก็ไม่ควรลดลงมาก อย่างไรก็ตาม คุณค่าที่แท้จริงจะปรากฏเมื่อสถานการณืนั้นคลี่คลายลง และปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของกิจการเริ่มแสดงตนผ่านการทยอยฝ้นตัวของผลประกอบการความสำเร็จของการลงทุนในหุ้นคุณค่าจึงขึ้นอยู่กับว่า- กิจการจะสามารถพลิกฟื้นขึ้นได้จริงหรือ
- การลดลงของราคาตลาดเป็นเพียงชั่วคราวตามที่คิดการณ์ไว้หรือไม่ และต้องใช้ระยะเวลาเท่าใด
ตัวอย่างเช่น ผู้จัดการกองทุนเลือกหุ้นคุณค่าเข้าพอร์ตจำนวนหนึ่ง เวลาผ่านไป 1 ปี ยังไม่มีสัญญานว่าราคาตลาดของหุ้นคุณค่าจะเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันกองทุนของคู่แข่งที่เน้นหุ้นเติบโต ราคาตลาดของหุ้นกลับตอบสนองอย่างรวดเร็วทำให้กองทุนที่เน้นหุ้นคุณค่ามีผลตอบแทนน้อยกว่าคู่แข่งเป็นระยะเวลานานจนผู้ถือหน่วยลงทุนตั้งคำถามหรือพากันสับเปลี่ยนไปลงทุนในกองทุนอื่น ผู้จัดการกองทุนที่เน้นหุ้นคุณค่าก็อาจต้องเปลี่ยนสไตล์ของหุ้นเพื่อรองรับความท้าทายนี้ในช่วงเวลาก่อนที่คุณค่าของหุ้นที่เลือกไว้จะแสดงผล
สถานการณ์เช่นนี้ สามารถแก้ไขได้โดยการตั้งชื่อกองทุนและระบุนโยบายการลงทุนให้ชัดเจน พร้อมสื่อความให้ผู้ถือหน่วยลงทุนทราบว่า กองทุนนี้ไม่ใช่กองทุนตราสารทุนทั่วไป แต่เน้นลงทุนในหุ้นคุณค่า เพื่อให้ผู้ลงทุนมีความเข้าใจและความคาดหวังที่ถูกต้องต่อระยะเวลาลงทุนและลักษณะผลตอบแทนของกองทุน
2 หุ้นเติบโต (Growth Stock)
"หุ้นเติบโต" (Growth Stock) มักเป็นหุ้นที่เครื่องชี้มูลค่าหุ้นบ่งบอกว่าเป็นหุ้นราคาสูงส่วนใหญ่เป็นหุ้นของกิจการที่คาดว่าจะสร้างการเติบโตอย่างโดดเด่นในสินทรัพย์รายได้ และกำไร ผู้ลงทุนพร้อมเข้าซื้อในราคาสูง เพราะเชื่อว่าการขยายตัวของกิจการจำทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้นได้อีกมากในอนาคต ในบางครั้งเกิดเป็นปรากฏการณ์ "ราคายิ่งสูง ยิ่งขึ้นต่อ"ข้อพึงระวังในการลงทุนหุ้นเติบโต คือ ซื้อในราคาสูง ไม่ใช่ราคาแพง ราคาสูงเพราะคาดหวังการเติบโต แต่ต้องเป็นราคาที่เหมาะสม จึงเป้นที่มาของคาถาประจำตัวผู้ลงทุนหุ้นเติบโต คือ "Growth at a Reasonable Price (GARP)" ความสำเร็จของการลงทุนในหุ้นเติบโตขึ้นอยู่กับความสามารถในการเลือกหุ้นของกิจการที่จะมีการขยายตัวได้เท่ากับหรือสูงกว่าอัตราที่คาดหวัง
ศักยภาพ คือ สาเหตุของความเสี่ยงที่สำคัญ หากผลประกอบการไม่เติบโตเท่าที่คาด (Below Expectation) ผู้ลงทุนที่เคยซื้อหุ้นในราคาสูง เมื่อผิดหวังจะปรับลดราคาเป้าหมาย และอาจทำให้เกิดแรงเทขายจนส่งผลให้ราคาตลาดของหุ้นลดลงอย่างรวดเร็ว
ตัวอย่างเช่น ผู้ลงทุนซื้อหุ้นโดยให้ราคาเทียบเท่า P/E Ratio ที่ 18 เท่า สูงกว่า P/E Ratio ของตลาดและหุ้นในหมวดธุรกิจเดียวกันที่ 11 เท่า และ 15 เท่า ตามลำดับ เพราะคาดว่ากำไรจะขยายตัวได้มากกว่าร้อยละ 20 แต่เมื่อกิจการประกาศผลประกอบการประจำปีที่กำไรขยายตัวได้ร้อยละ 15 ราคาหุ้นกลับตอบรับด้วยการปรับลดลงในทันที
เนื่องจากหุ้นเติบโตมีราคาสูงและจ่างเงินปันผลต่ำ ผู้ลงทุนจึงควรติดตามปัจจัยที่สร้างการเติบโตและตรวจสอบอัตราการเติบโตที่แท้จริงว่าต่อเนื่องอย่างมีเสถียรภาพหรือไม่
- หากเติบโตด้วยสิทธิบัตร ( Patents ) หรือลิขสิทธิ์ ( Copyrights ) ในที่สุดจะถึงวันหมดอายุ
- หากเติบโตจากการผูกขาดธุรกิจ ( Monopoly ) อาจพบข้อห้ามการผูกขาดจากภาครัฐ
- ช่วงการเติบโตในวัฏจักรของผลิตภัณฑ์ (Product Life Cycle) อาจเป็นระยะเวลาสั้น หรือหมดลง
- การขยายตัวอย่างมากของยอดขายและกำไร จะเป็นแรงจูงใจให้คู่แข่งเข้ามามากขึ้น และอัตรากำไรลดลง
- กิจการมีสินค้าหรือบริการที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นที่ต้องการของตลาดหรือไม่ ถ้ามี จะทำให้กิจการมีอำนาจกำหนดราคาสินค้าหรือบริการ และความสำเร็จของธุรกิจในอนาคตอันใกล้
- กิจการมีแผนนำเสนอสินค้าหรือบริการใหม่ๆ สู่ตลาดในเร็วๆ นี้หรือไม่ ถ้ามี จะส่งเสริมโอกาสสร้างรายได้และกำไรที่เพิ่มพูนขึ้น
- กิจการมีข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน (Competitive Advantage) หรือไม่ ถ้ามี จะช่วยสร้างมูลค่าได้ในระยะยาว เช่น มีตราสินค้า (Brand Name) เป็นที่ยอมรับ มีความภักดีของลูกค้า ฝ่ายบริหารเข้มแข็งและมีความสามารถ ทำเลที่ตั้งโดดเด่น กระบวนการผลิตมีประสิทธ์ภาพ และต้นทุนต่ำ เป็นต้น
- กิจการมีสิทธบัตร หรือการผูกขาดธุรกิจ หรือการปกป้องจากการเข้ามาของคู่แข่งหรือไม่ ถ้ามี จะช่วยป้องกันกิจการจากการแข่งขันได้ในระยะสั้น ทำให้กิจการมีอำนาจในการกำหนดราคาสินค้าหรือบริการ หรือริเริ่มกิจกรรมเพื่อสร้างศักยภาพการแข่งขัน (Head Start) เหนือคู่แข่ง อย่างไรก้ตาม กิจการต้องเตรียมพร้อมกลยุทธ์ที่จะสร้างการเติบโตต่อเมื่ออภิสิทธ์เหล่านี้ครบอายุลง
สถิติผลตอบแทนรวมของหุ้นคุณค่าและหุ้นเติบโตข้างต้น อาจทำให้ผู้ลงทุนที่เน้นหุ้นเติบโตลังเลใจว่า หุ้นที่เลือกซื้อในช่วง "ยิ่งสูง ยิ่งขึ้น" หรือจะเป็น "ยิ่งขึ้น ยิ่งแพง" จึงทำให้ผลตอบแทนรวมในระยะยาวน้อยกว่าหุ้นคุณค่าผู้ลงทุนสามารถศึกษาพฤติกรรมราคาหุ้นเพิ่มเติมโดยการแบ่งระยะเวลาลงทุนเป็นช่วงๆ ดังนี้
ช่วงที่ 1 ระหว่างปี พ.ศ. 2538 - 2542 ( ค.ศ. 1995-1999 ) ดังแสดงในรูปที่ 11 ในช่วงรุ่งเรืองของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ได้รับอานิสงส์มาจากการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของผลผลิต ตลอดจนกำไรในภาคอุตสาหกรรมในช่วงก่อนหน้า คือ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 - 2538 ( ค.ศ. 1985-1995 ) แม้ผลประกอบการที่แท้จริงในช่วงนี้จะเริ่มชะละลง แต่ราคาตราสารการเงินต่างๆ รวมทั้งหุ้นยังคงเป็นขาขึ้นสอดคล้องกับการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ ดังนั้น ความมั่งคั่งที่พอกพูนขึ้น ( Wealth Effect ) จากการเพิ่มขึ้นของราคาห้น ทำให้ภาคการผลิตซึ่งเป็นเครื่องจักรทางเศรษฐกิจที่แท้จริงถูกละเลย ผู้ลงทุนและนักธุรกิจใช้ความั่งคั่งที่ได้รับจากตลาดหุ้นมาเพิ่มการลงทุนในตลาดทุนต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ซึ่งภายใต้วงจรเศรษฐกิจ ( Business Cycle ) ลักษณะนี้ หุ้นเติบโตจะอยู่ในความสนใจของผู้ลงทุนมากกว่าหุ้นประเภทอื่น ราคาหุ้นเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ทำให้สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า สะท้อนจากดัชนีผลตอบแทนรวม Russell 100 Growth ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 307 เปรียบเทียบกับดัชนีผลตอบแทนรวม Russell 1000 Value ที่เพิ่มขึ้น เพียงร้อยละ 182 ในช่วงเวลาเดียวกัน
ช่วงที่ 2 คือ ช่วงเริ่มต้นของภาวะตกต่ำในตลาดหุ้นในปี พ.ศ.2543 (ค.ศ. 2000) ดังแสดงในรูปที่ 12 เป็นรอยต่อระหว่าการเพิ่มของราคาหุ้นและอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจ พร้อมๆ กับอัตรากำไรของกิจการชะลอลง ซึ่งในที่สุดในช่วงกลางปี พ.ศ. 2543 กิจการในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและสื่อสารที่เป็นผู้นำเศรษฐกิจเผชิญกับสถานะการณ์ที่รายได้ลดลง กไรไม่สามารถเพิ่มขึ้นต่อไปได้ ตามมาด้วยราคาหุ้นตกต่ำ ความมั่งคั่งที่ผู้ลงทุนสะสมไว้หายไปในเวลาอันรวดเร็ว สถานะลงทุนเริ่มขาดทุน ธุรกิจมีความยากลำบากในการจัดหาแหล่างเงินทุน สุดท้ายต้องระงับแผนลงทุนหรือขยายกิจการ ส่งผลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจในภาพรวม
นอกจากนี้ การยายการลงทุนมากเกินไปในช่วงก่อนหน้าที่ไม่สอดคล้องกับศักยภาพการสร้างกำไร ยังคงส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกในเวลาต่อมา ทั้งเครื่องจักรและโรงงานที่สะสมหรือสร้างไว้ ไม่ได้ใช้งาน กำลังการผลิตส่วนเกินทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างล่าช้า และถูกซ้ำเติมอีกครั้งด้วยวิกฤตสถาบันการเงินในปี พ.ศ. 2551 (ค.ศ. 2008) ซึ่งในวงจรเศรษฐกิจลักษณะนี้หุ้นเติบโตสร้างความผิดหวังให้ผู้ลงทุน หุ้นคุณค่าที่แม้จะมีราคาตลาดลดลงตามวงจรเศรษฐกิจ แต่ไม่หนักนาเท่าหุ้นเติบโต เพราะมีความพร้อมด้านกระแสเงินสดและเงินปันผลรองรับ สะท้อนจากดัชนีผลตอบแทนรวม Russell 1000 Growth ที่ลดลงร้อยละ 55 เปรียบเทียบกับดัชนีผลตอบแทนรวม Russell 1000 Value ที่ลดลงเพียงร้อยละ 15 ในช่วงปี พ.ศ. 2543-2545
ถึงตรงนี้ นักลงทุนคงได้คำตอบแล้วว่า "หุ้นคุณค่า" และ "หุ้นเติบโต" ต่างมีช่วงเวลาที่จะแสดงผลงานแตกต่างกันไป เพราะในแต่ละวงจรเศรษฐกิจ หุ้นทั้งสองประเภทได้รับผลกระทบและมีพฤติกรรมการเปลี่ยนแปลงของราคาไม่เหมือนกัน พอร์ตลงทุนที่ดีจึงควรผสมผสานหุ้นทั้งสองประเภทเข้าด้วยกัน เนื่องจากการคาดการณ์วงจรเศรษฐกิจอย่างแม่นยำทำได้ยาก นอกจากนี้ในบางครั้งผู้ลงทุนจะพบว่าหุ้นที่เคยลงทุนในอดีตในฐานะหุ้นเติบโต เมื่อเวลาเปลี่ยนไป องคืประกอบต่างๆ อาจผลักดันให้หุ้นตัวเดียวกันเปลี่ยนสถานะเป็นหุ้นคุณค่าได้
จากรูปที่ 13 หุ้นเติบดตอยู่ใน Matrix ที่ 3 คือ "GROWTH" เนื่องจากอัตราการเติบโตและราคาสูง เมื่อเวลาผ่านไป อัตราการเติบโตที่โดดเด่นกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดและอุตสาหกรรมไม่สามารถยั่งยืนถาวร อาจด้วยสภาพการแข่งขันหรือวงจรกเศรษฐกิจทำให้อัตราการขยายตัวชะลอลง ณ ขณะที่ราคาหุ้นยังไม่ลดลงสะท้อนการชะลอตัวเข้าสู่ค่าเฉลี่ยของผลประกอบการ หุ้นจะตกมาอยู่ใน Matrix ที่ 2 คือ "DOG" เนื่องจากราคาหุ้นสูงเกินกว่าศักยภาพการเติบโตของผลประกอบการในอนาคต เมื่อผู้ลงทุนตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงในผลประกอบการในอนาคต เมื่อผู้งทุนตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงในผลประกอบการจะเกิดแรงเทขายหรือการต่อรองราคาที่จะเข้ามาสะสมหุ้น ทำให้ราคาตลาดของหุ้นลดลง จนหุ้นเข้ามาใน Matrix ที่ 1 คือ "VALUE" หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี แต่ผู้ลงทุนยังไม่สนใจ เพราะอัตราการขยายตัวไม่ดึงดูด เข้าข่าย "การไม่เล่น ก็ไม่เล่นเลย" ทำให้ราคาตลาดของหุ้นไม่เพิ่มขึ้นหรืออาจลดลงต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหนึ่ง ผู้ลงทุนที่เน้นหุ้นคุณค่าจะเข้าสะสมหุ้นในช่วงเวลานี้ถือลงทุนและรับเงินปันผล พร้อมทบทวนความแข็งแกร่งของปัจจัยพื้นฐานจวบจนผลประกอบการเริ่มฟื้นตัว ปรากฏเป็นจุดสนใจของนักวิเคราะห์และผู้ลงทุนในวงกว้างว่าเป็นหุ้นดี และราคายังถูกอยู่ หุ้นจึงเคลื่อนเข้า Matix ที่ 4 คือ "STAR" ผู้ลงทุนจะเริ่มสับเปลี่ยนจากหุ้นที่ราคาเข้าข่ายสูงเกินไปแล้วเข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ ก่อนที่จะกลัีบมาที่ Matix ที่ 3 คือ "GROWTH" อีกครั้ง
โดยสรุป หุ้นเติบโตสร้างกำไรงามในภาวะที่เศรษฐกิจรุ่งเรือง หุ้นคุณค่าเป็นผู้นำเมื่อเศรษฐกิจอยู่ในช่วงกลางและกำลังเคลื่อนเข้าสู่การชะลอตัวหรือตกต่ำ หุ้นคุณค่าและหุ้นเติบโตผลัดกันเป็นผู้นำตลาดในแต่ละช่วงเวลา อย่างไรก็ดีผลตอบแทนในหุ้นคุณค่ามีค่าสูงกว่าเนื่องจากในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรงบ่อยครั้งจากความเชื่อมโยงกันของตลาดการเงินโลก นวัตกรรมในตราสารการเงินที่ซับซ้อน และการขาดการควบคุมดูแลและระบบจัดการความเสี่ยงที่ดี